“The best time for examining a lame horse is while he is in action. An attendant should lead him on a trot, preferably on hard ground, in a straight line, allowing him freedom of his head, so that his movements may all be natural and unconstrained.

A. Liautard, 1888.

Alexander Liautard ผู้ซึ่งเป็นเหมือน Entrepreneur แห่งวงการสัตวแพทย์อเมริกา ได้กล่าวถึงการตรวจม้าเจ็บไว้เมื่อปี ค.ศ. 1888 ว่า “เราสามารถตรวจอาการม้าเจ็บขาได้ดีที่สุดในขณะที่ม้าเคลื่อนไหว ด้วยการจูงม้าวิ่งทรอทเป็นเส้นตรงบนพื้นแข็ง ให้ม้าสามารถขยับหัวได้อย่างธรรมชาติ ไม่ดึงยึดไว้” ซึ่งการตรวจแบบที่ Liautard แนะนำก็ยังคงถูกใช้เป็นพื้นฐานในการตรวจม้าเจ็บขาอยู่จนถึงปัจจุบัน

เราจะสามารถมองเห็นความผิดปกติในการเคลื่อนไหวของม้าได้ก็ต่อเมื่อเราทราบว่าในภาวะปกติม้าเคลื่อนไหวอย่างไร ในบทความนี้ผมจึงขอกล่าวถึงจังหวะการเคลื่อนไหวต่างๆ ของม้าครับ เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญและต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากพอสมควร และจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อเราได้สังเกตุการเคลื่อนไหวของม้าประกอบไปด้วยครับ

จังหวะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของม้าจะมีอยู่ 4 แบบ คือ Walk Trot Canter และ Gallop โดยแต่ละรูปแบบจะมีความเร็วในการเคลื่อนที่ และรูปแบบการวางเท้าที่แตกต่างกัน

Beat เป็นคำที่เราใช้เรียกจำนวนครั้งที่ม้าวางเท้ากระทบพื้น (Footfalls) ใน 1 วงรอบการเคลื่อนที่ (Gait sequence) โดยการวางเท้าแต่ละครั้งอาจจะเป็นการวางเท้าข้างเดียว หรือมากกว่านั้นก็ได้ หลังจากนี้เราจะใช้ตัวย่อแทนการเรียกขาแต่ละข้างดังนี้ครับ ขาหน้าซ้าย (Left Forelimb; LF) ขาหน้าขวา (Right Forelimb; RF) ขาหลังซ้าย (Left Hindlimb; LH) และ ขาหลังขวา (Right Hindlimb; RH)

Walk เดิน

การเดินของม้าจะเป็น 4-beat gait โดยไม่มีจังหวะ Suspension phase (จังหวะที่ไม่มีขาใดแตะพื้นเลย) โดยใน 1 รอบจะมีการวางขา 4 beats RH-RF-LH-LF ตามลำดับ

จังหวะการเดินของม้า
1st Beat: ขาหลังขวา
2nd Beat: ขาหน้าขวา
3rd Beat: ขาหลังซ้าย
4th Beat: ขาหน้าซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/
จังหวะการเดินของม้า
1st Beat: ขาหลังขวา
2nd Beat: ขาหน้าขวา
3rd Beat: ขาหลังซ้าย
4th Beat: ขาหน้าซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/

ในม้าปกติ ขณะที่เดินขาหลังของม้าจะต้องสามารถ Track-up ก้าวทับรอยเท้าของขาหน้าข้างเดียวกัน (Ipsilateral front foot) ได้ หรือในบางตัวอาจจะก้าวเลยรอยเท้าขาหน้าได้เลย (Overtrack) ม้าที่มีปัญหาเจ็บขาหลังหรือกล้ามเนื้อขาหลังอ่อนแอ จะไม่สามารถ Track-up ได้ ขาหลังจะก้าวไปวางไม่ถึงรอยเท้าของขาหน้า

เราจะสามารถพบการเดินแบบ Pace ในม้าที่เดินเร็ว หรือในม้าบางสายพันธุ์ได้  ซึ่ง pace เป็นการเดินแบบ 2-beats gait ของขาข้างเดียวกัน หมายความว่าใน 1 รอบการเคลื่อนที่ RF และ RH จะแตะพื้นในจังหวะเดียวกับที่ LF และ LH ยกจากพื้นนั่นเอง สำหรับม้ากีฬาทั่วไปการเดินแบบ Pace ถือเป็นการเดินที่พบได้ในม้าไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้น หากเราตรวจพบการเดินแบบ pace และสายพันธุ์ม้าตัวดังกล่าวไม่ได้มีการเดินแบบ pace เป็นปกติ แนะนำให้ทำการตรวจระบบประสาทเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยแยกโรคว่าม้าตัวนั้นมีปัญหาระบบประสาทหรือไม่

Trot ทรอท, วิ่งเรียบ

การทรอท หรือวิ่งเรียบ เป็นการเคลื่อนไหวแบบ 2-beats diagonal gait ใน 1 รอบจะมีการวางขาเป็น 2 beats LF-RH สลับกับ RF-LH ขาหน้าและขาหลังข้างตรงข้ามกัน (Diagonal limb) จะเคลื่อนที่ในจังหวะเดียวกัน และมีจังหวะ Suspension ก่อนที่ขาอีกคู่หนึ่งจะแตะพื้น

จังหวะการทรอท (วิ่งเรียบ) ของม้า
1st Beat: ขาหน้าซ้าย/ขาหลังขวา
2nd Beat: ขาหน้าขวา/ขาหลังซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/
จังหวะการทรอท (วิ่งเรียบ) ของม้า
1st Beat: ขาหน้าซ้าย/ขาหลังขวา
2nd Beat: ขาหน้าขวา/ขาหลังซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/

โดยทั่วไปทรอทเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกการเคลื่อนไหวในรูปแบบนี้ในวงการขี่ม้าสไตล์อังกฤษ ขณะที่วงการขี่ม้าสไตล์เวสเทิร์นจะเรียกว่า Jog (จ๊อก) การทรอทที่ดีปกติแล้วม้าจะมีแรงดีดตัวลอยกลางอากาศ (Impulsion) ในระดับหนึ่ง และมีการก้าวขาที่ยาว (long stride length) ต่างกับการจ๊อกที่มี Stride length ที่สั้น มีการยกขา (Height) ไม่สูง และ impulsion น้อยกว่าการทรอท การจ๊อกในจังหวะที่ช้าอาจจะทำให้ม้าก้าวขาก้ำกึ่งระหว่างการเดินและทรอทได้ โดยมักพบว่าขาหลังก้าวในจังหวะเดิน และขาหน้าก้าวเหมือนกับการทรอท

การทรอทถือเป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เป็น Symmetrical gait หัวของม้าจะอยู่นิ่ง มีการเคลื่อนไหวของเท่ากันของร่างกายทั้งสองข้าง ทรอทจึงเป็นการเคลื่อนไหวที่ใช้ตรวจอาการเจ็บขาได้ดี เพราะหากม้ามีอาการเจ็บจะทำให้เราเห็นการเคลื่อนไหวที่เป็น Asymmetrical gait ได้ทันที และหากขาหนึ่งมีอาการเจ็บ เรามักพบ Compensatory lameness ได้ในขาคู่ทแยงมุม (Diagonal paired limb) เช่นหากม้ามีอาการเจ็บขาหน้าซ้าย ขาหลังขวาก็มักจะทำงานหนักขึ้นเพื่อช่วยแบกรับน้ำหนัก จนอาจทำให้มีอาการเจ็บตามมาด้วยได้

ในม้าที่มีอาการเจ็บขาหลัง อาจจะส่งผลให้ม้ามีการกระดกหัวของขาหน้าข้างเดียวกันได้ ยกตัวอย่างเช่น ม้าที่เจ็บขาหลังซ้ายเมื่อวางขาหลังซ้าย หัวของม้าจะก้มต่ำถ่ายน้ำหนักตัวไปที่ขาหน้าขวาให้มากขึ้น เพื่อลดน้ำหนักที่ขาหลังซ้ายที่เจ็บให้น้อยลง ทำให้เมื่อก้าวขาจังหวะต่อไปม้าจะต้องยกหัวขึ้น ทำให้ดูเหมือนว่าม้ามีอาการเจ็บขาหน้าซ้ายทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บก็ได้

Backing การเดินถอยหลัง ของม้าก็มีการเคลื่อนไหวแบบ 2-beats diagonal gait เช่นเดียวกับการทรอท โดยการถอยหลังจะใช้ตรวจการเคลื่อนไหวผิดปกติของม้าได้ดี โดยเฉพาะปัญหาระบบประสาท

Canter แคนเตอร์, วิ่งขโยก

แคนเตอร์เป็นการเคลื่อนที่แบบ 3-beats gait ในวงการขี่ม้าสไตล์เวสเทิร์น จะเรียกการเคลื่อนไหวในจังหวะนี้ว่า Lope (โลป)

แคนเตอร์ขวา
1st Beat: ขาหลังซ้าย
2nd Beat: ขาหลังขวา/ขาหน้าซ้าย
3rd Beat: ขาหน้าขวา
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/
แคนเตอร์ขวา
1st Beat: ขาหลังซ้าย
2nd Beat: ขาหลังขวา/ขาหน้าซ้าย
3rd Beat: ขาหน้าขวา
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/
แคนเตอร์ซ้าย
1st Beat: ขาหลังขวา
2nd Beat: ขาหลังซ้าย/ขาหน้าขวา
3rd Beat: ขาหน้าซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/
แคนเตอร์ซ้าย
1st Beat: ขาหลังขวา
2nd Beat: ขาหลังซ้าย/ขาหน้าขวา
3rd Beat: ขาหน้าซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/

จังหวะแคนเตอร์ของม้าจะแตกต่างกันถูกเรียกแบ่งเป็นแคนเตอร์ซ้าย (Left lead canter) และแคนเตอร์ขวา (Right lead canter) โดยในแคนเตอร์ซ้าย Beat แรกที่แตะพื้นจะเป็น RH ตามด้วย Beat ที่ 2 ของขาคู่ทแยงมุม RF+LH สุดท้าย LF จะเป็น Beat ที่ 3 ที่แตะพื้น แล้วตามด้วยจังหวะ Suspension จากนั้นจะเริ่มต้นใหม่ที่ RH ซึ่งหากเป็นแคนเตอร์ขวาก็จะกลับกันโดยเริ่ม Beat แรกที่ LH ก่อนนั่นเอง เมื่อมองจากด้านข้างในขณะแคนเตอร์ซ้าย เราจะเห็นว่า LF ก้าวไปได้ไกลว่า RF ในทางกลับกันในขณะแคนเตอร์ขวา RF ก็จะก้าวไปได้ไกลกว่า LF

การวิ่งในจังหวะแคนเตอร์ จะเป็น Asymmetry gaits ขาแต่ละข้างจะรับน้ำหนักแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นในแคนเตอร์ขวา LH ซึ่งเป็นขาแรกที่รับน้ำหนักหลังจากจังหวะ Suspension จะเป็นขาข้างที่ต้องดูดซับแรงกระแทกมากที่สุด และเปลี่ยนแรงนั้นเป็นแรงส่งให้ม้ามีการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า LH จึงดูเหมือนจะเป็นขาข้างที่มีโอกาสเจ็บได้มากกว่า และเกิดอาการล้าได้ง่ายกว่าเมื่อแคนเตอร์ขวา แต่เมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาในการรับน้ำหนัก (Stance time) การงอของขาส่วนบน (Flexion of upper limb joints) และ Ground reaction force (GRF) กลับพบวา RH เป็นข้างที่รับแรงเหล่านี้มากกว่า LH ในการแคนเตอร์ขวา

จะเห็นได้ว่าการตรวจม้าในจังหวะแคนเตอร์นั้นทำได้ยากเพราะธรรมชาติของการเคลื่อนไหวที่เป็น Asymmetry gaits อาการเจ็บขาไม่ว่าจะขาหน้าหรือหลังก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ม้ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดไปจากปกติได้

ในม้าที่มีอาการเจ็บขา อาจพบว่าม้าชอบที่จะแคนเตอร์ข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่ง หรืออาจพบการแคนเตอร์ผิดปกติที่เรียกว่า Disunited canter ได้ โดยม้าจะเปลี่ยนลำดับการวางขาหลังด้วยตัวเอง แต่ขาหน้ายังก้าวเหมือนเดิม ผิดไปจากปกติที่ม้าจะเปลี่ยนจังหวะการวิ่งที่ขาหน้าและขาหลังพร้อมกัน ในม้าที่มีอาการเจ็บหลังหรือเจ็บขาหลัง การเปลี่ยนจากแคนเตอร์ขวาเป็นซ้าย หรือซ้ายเป็นขวา อาจจะทำได้ยากกว่าปกติ ม้าอาจจะปฎิเสธเมื่อผู้ขี่ออกคำสั่ง หรืออาจจะเปลี่ยนจังหวะการวิ่งเฉพาะขาหน้า แต่ขาหลังยังก้าวเหมือนเดิม

Gallop แกลลอป

จังหวะแกลลอป เป็นจังหวะที่ม้าวิ่งด้วยความเร็วฝีเท้าสูงสุดแบบม้าแข่ง Thoroughbred racehorse แกลลอปเป็น 4-beats gait โดยเมื่อม้าวิ่งในวงซ้าย LF ก็จะเป็นขานำ (เป็น beat สุดท้ายที่แตะพื้นในรอบการวางขา) หากวิ่งวงขวา RF ก็จะเป็นขานำเช่นเดียวกันการแคนเตอร์ การวิ่งในจังหวะนี้ม้าจะใช้แรงในการวิ่งสูง และเสี่ยงต่ออาการล้าของขาได้ง่าย โดยทั่วไปม้าแข่งความเร็ว (Racehorse) จะวิ่งในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาหรือวิ่งวงซ้ายเป็นหลัก ทำให้เมื่อม้าเข้าสู่ทางโค้งขาที่นำมักจะเป็น LF และเมื่อม้ากลับเข้าสู่ทางตรงก็จะสลับกลับมาใช้ RF เป็นขานำแทนเพื่อลดอาการล้าของตัวเอง หากเราพบว่าม้าไม่สามารถเปลี่ยนขานำในขณะที่แกลลอปได้นั่นอาจหมายถึงม้าตัวดังกล่าวมีอาการล้าของกล้ามเนื้อหรือมีอาการเจ็บขาก็ได้

ในแกลลอปซ้ายที่มี LF เป็นขานำ ลำดับการวางขาจะเป็น RH-LH-RF-LF ตามลำดับ แล้วตามด้วยจังหวะ Suspension ในแกลลอปขวาที่มี RF เป็นขานำ ลำดับการวางขาจะเป็น LH-RH-LF-RF ตามลำดับ แล้วตามด้วยจังหวะ Suspension

แกลลอปขวา
1ST BEAT: ขาหลังซ้าย
2ND BEAT: ขาหลังขวา
3RD BEAT: ขาหน้าซ้าย
4TH BEAT: ขาหน้าขวา
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/

แกลลอปซ้าย
1ST BEAT: ขาหลังขวา
2ND BEAT: ขาหลังซ้าย
3RD BEAT: ขาหน้าขวา
4TH BEAT: ขาหน้าซ้าย
ที่มา: https://www.allpony.com/learn/gaits/

ถ้าพิจารณาจากลำดับการวางขาแล้ว ม้าที่มีอาการเจ็บขาหน้าข้างใดข้างหนึ่ง ก็ควรจะใช้ขานั้นเป็นขานำได้ยาก แต่เมื่อทำการวัด Bone stress ที่เกิดขึ้นกับ Radius และ Third Metacarpal bone ที่ขาหน้าในจังหวะแกลลอป กลับพบว่าขาที่ไม่ได้เป็นขานำ (Nonlead forelimb) กลับได้รับ Bone stress และ GFR มากกว่าขานำ จึงมีความเป็นไปได้ว่าหากม้ามีอาการเจ็บ RF ม้าก็ยังคงจะเลือกแกลลอปขวาเพื่อให้ LF รับแรงที่มากกว่าไป

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังขมวดคิ้วหน้านิ่วเพราะคิดภาพตามไม่ทัน ผมแนะนำคลิปนี้ครับ Horse gaits footfall Emphasis on the diagonal ของ Channel 5MinuteHorseLessons เป็นคลิปที่ทำให้เราเห็นจังหวะการก้าวขาที่ชัดเจนครับ

จังหวะการเคลื่อนไหวแบบไหนดีที่สุดสำหรับใช้ในการตรวจม้าเจ็บขา?

การทรอทยังคงเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด และให้ข้อมูลอาการบาดเจ็บกับเราได้มากที่สุดเหมือนดังที่ Liautard กล่าวไว้เมื่อปี ค.ศ.1888 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อม้าเจ็บในระดับ 2/5 ขึ้นไปก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจน แต่หากม้ามีอาการเจ็บน้อยกว่านั้นหรือมี Compensation ไปยังขาอื่นๆ แล้ว การตรวจการวิ่งในจังหวะอื่นๆ ก็ยังมีความสำคัญเช่นกัน

ในงานสัมมนาของสมาคม NEAEP เมื่อปี 2018 คุณหมอ Sue dyson ผู้เขียน Diagnosis and Manage of Lameness in the horse ก็ได้พูดไว้ในหัวข้อ “Why is it important to see sports horses ridden?” ที่บ่งชี้ว่าทำไมหมอม้าจึงควรตรวจม้ากีฬาในขณะที่กำลังถูกขี่ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งหากมีโอกาสผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังในบทความต่อๆ ไปครับ

เอกสารอ้างอิง

  • Mike W.Ross and Sue J.Dyson. Diagnosis and Management of Lameness in the Horse, 2nd Edition 2011; 64-80
  • Gary M.Baxter. ADAMS & STASHAK’S Lameness in horses, 6th Edition ; 95-108.
  • ภาพประกอบ: https://www.allpony.com/learn/gaits/
Message us