บทความก่อนหน้านี้เราได้ทำความรู้จักกับโครงสร้างที่สลับซับซ้อนของกีบม้าไปแล้ว บทความนี้ผมจะพูดถึงการตรวจกีบม้าพื้นฐานที่จะช่วยให้หมอสามารถบอกได้ว่า กีบม้าที่เราเห็นนั้นผิดไปจากปกติอย่างไร

การประเมินสภาพกีบม้า Evaluation of the Foot

                การตรวจกีบม้านั้นไม่ต่างจากการตรวจโรคอื่นๆ ที่เราต้องเริ่มด้วย chief complain, signalment และ history ของม้าตัวนั้นๆ ในการซักประวัติเราจำเป็นต้องทราบว่าปัญหาเกิดขึ้นเมื่อใด ได้มีการรักษาอะไรไปแล้วบ้าง แล้วอาการเท่าเดิม ดีขึ้น หรือแย่ลง เพื่อให้เราทราบถึง progression ของโรค หากม้าใส่เกือกเราก็จำเป็นที่จะต้องทราบว่าม้าใส่เกือกครั้งล่าสุดไปเมื่อใด เป็นเกือกชนิดไหน มีการเปลี่ยนลักษณะของเกือกหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ

เมื่อพูดถึงเรื่องการตรวจกีบม้า สิ่งที่แรกที่ผมจำเป็นต้องอธิบายให้หมอเข้าใจก่อนก็คือเรื่องของ “มุมมอง” ครับ ผมขอให้หมอลองยกกำปั้นขึ้นมาตรงหน้าในระดับสายตา แล้วค่อยๆ ลดระดับมือต่ำลง หมอก็จะเห็นว่าภาพกำปั้นของหมอเองนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไปตามระดับของมือเรา การตรวจกีบม้าก็เช่นเดียวกันครับ หากเรายืนมองกีบม้าจากมุมที่เรามองลงไปตามปกติ ภาพที่เราเห็นก็จะเป็น bird-eye view เกิดการบิดเบี้ยวของภาพ ทำให้เราเกิด error ในการประเมินอย่างแน่นอน ผมขอแนะนำเทคนิคที่จะช่วยให้ชีวิตของหมอง่ายขึ้นด้วยการใช้ smart phone ของเราให้เป็นประโยชน์ครับ โดยให้ถ่ายรูปกีบม้าในระนาบเดียวกับกีบม้าเพื่อลดการ distortion เช่นเดียวกับเวลาที่เราถ่ายภาพเอ็กซเรย์ การมองในมุมนี้จะช่วยให้เราประเมินสภาพกีบม้าได้แม่นยำขึ้น และสามารถดูได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Lateral, Dorsal, Palmar หรือ Ground surface เราก็สามารถถ่ายภาพแล้วค่อยมาดูผ่านมือถือได้ ไม่ต้องก้มให้เมื่อย และที่สำคัญคือปลอดภัยกว่ามากครับ

นอกจาก smart phone แล้ว อุปกรณ์พื้นฐานอื่นๆ ที่สำคัญในการตรวจกีบม้าสำหรับหมอม้ามีดังนี้ครับ

Hoof tester
  • Hoof pick ที่แคะกีบ ใช้สำหรับแคะเอาสิ่งสกปรกออกจากพื้นกีบ เพื่อให้เราตรวจกีบม้าได้ชัดเจนขึ้น
  • Hoof tester ที่หนีบกีบ ใช้สำหรับตรวจอาการเจ็บของกีบ
  • Hoof knife มีดปาดกีบ ใช้ตัดกีบส่วนที่เน่าเปื่อยออกไป เพื่อให้หมอเห็นความผิดปกติได้ชัดเจนมากขึ้น
  • Inclinometer เครื่องวัดมุม หรือ Hoof guage, Protractor เพื่อใช้สำหรับวัดมุมโครงสร้างต่างๆ ของกีบม้า
  • ไม้บรรทัดเหล็ก

อุปกรณ์ข้างต้นนั้นเพียงพอต่อการตรวจกีบม้าทั่วไปครับ แต่ในกรณีที่ม้าใส่เกือก แล้วไม่มีช่างเกือกร่วมปฏิบัติงานด้วย และหมออาจจะต้องถอดเกือกด้วยตัวเอง อุปกรณ์ที่เพิ่มมาก็จะเป็นอุปกรณ์ช่างเกือกพื้นฐาน ดังนี้ครับ

  • Shoe pullers คีมถอดเกือก ใช้สำหรับดึงเกือกออก หรือดึงตะปูออก
  • Rasp ตะไบกีบม้า ใช้สำหรับตะไบผนังกีบ และพื้นกีบ หรือใช้ตะไบหัวตะปูให้บางลงเพื่อให้ง่ายต่อการถอดเกือก
  • Clinch-cutter อุปกรณ์เปิดหัวตะปู เพื่อคลายหัวตะปูให้หลวมและง่ายต่อการถอด
  • Hoof nippers คีมตัดกีบ ใช้ในกรณีที่ต้องตัดชิ้นส่วนของกีบที่เน่าเปื่อย ที่เป็นชิ้นใหญ่ๆ ออก

การตรวจกีบม้าเราควรตรวจทั้งในขณะที่ม้ายืน (Static Obseration) และในขณะที่ม้าเคลื่อนไหว (Dynamic Observation) ด้วย พื้นผิวที่ใช้ตรวจนั้นควรเป็นพื้นแข็ง เรียบ ไม่ลาดเอียง เช่น บริเวณซองอาบน้ำ คอกแต่งตัว ถนน หรือทางเดินภายในคอก และควรเป็นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้เราสามารถมองเห็นกีบม้าได้อย่างชัดเจนที่สุด ขณะที่ตรวจควรให้ม้ายืนสแควร์ (Square stance) ให้กีบทั้งสองข้างอยู่ในระนาบเดียวกัน ทั้งขาหน้าและขาหลัง

Static Observation

เมื่อเราพิจารณากีบม้าจากด้านข้าง (Lateral aspect) สิ่งแรกที่เราประเมินได้ทันทีคือมุมกีบ (Hoof angle) โดยวัดมุมระหว่าง dorsal hoof wall กับพื้น ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติในปัจจุบันค่าเฉลี่ยของมุมกีบ (Hoof angle) อยู่ที่ 54 องศา แต่การศึกษาเหล่านั้นก็ยังขาดปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่นสายพันธุ์ และโครงสร้างของขาม้าแต่ละตัวที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้แนวกระดูก Hoof-Pastern Axis (HPA) เป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่ามุมกีบสูงหรือต่ำเกินไป           

ที่มา: ADAMS & STASHAK’S LAMENESS IN HORSES, Sixth Edition

เราจะสามารถประเมิน HPA ได้ด้วยการดูพิจารณามุมของ Dorsal hoof wall และมุมของ pastern ซึ่งตามปกติแล้วมุมของ Hoof Wall ควรเป็นระนาบเดียวกับมุมของ Pastern (B) ซึ่งเป็น Normal HPA หากมุมของ hoof wall ตั้งกว่ามุมของ pastern (C) จะเรียกว่า  Broken-forward HPA ซึ่งมักจะส่งผลให้เกิดแรงกระแทกที่ข้อ fetlock และ interphalangeal joint มากขึ้น ในทางกลับกันหากมุมของ pastern ตั้งกว่ามุมของ hoof wall (A) จะเรียกว่า Broken-back HPA ซึ่งมักจะส่งผลให้เส้นเอ็นกลุ่ม flexor รวมถึงโครงสร้างบริเวณ navicular bursa ได้รับแรงตึงมากกว่าปกติ ความผิดปกติทั้งสองแบบ จะส่งผลให้ม้ามีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้น

ที่มา: ADAMS & STASHAK’S LAMENESS IN HORSES, Sixth Edition

เมื่อลากเส้นสมมุติผ่านกลางกระดูก third metacarpus (MC3) ลงมายังพื้น ปกติแล้วเส้นนั้นควรจะแตะพื้นในบริเวณ heel bulb พอดี เมื่อลากเส้นสมมุติจากไรกีบ (Coronet) ในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่าง dorsal และ palmar border ของ P2 เส้นสมมุตินั้นควรแตะพื้นในจุดที่เป็นส่วนที่กว้างที่สุดของกีบม้าพอดี และควรแบ่งครึ่งกีบม้าด้านหน้าและหลังออกเป็นอัตราส่วนเท่ากัน ซึ่งวิธีนี้ก็คือการประเมิน Dorso-Palmar balance นั่นเอง หากอัตราส่วนด้านปลายกีบมากกว่าส้นกีบ ก็จะส่งผลให้แรงกดที่ dorsal coronet มีมากขึ้น และในม้าน้ำหนักเฉลี่ยน 400 กิโลกรัม ปลายกีบที่ยาวขึ้น 1 เซนติเมตร ก็จะทำให้มีน้ำหนักกดลงที่ข้อ fetlock มากขึ้นได้ถึง 50 กิโลกรัม ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้น

เมื่อมองจากด้านหน้า (Dorsal view) เส้นสมมุติที่แบ่งกึ่งกลาง MC3 ควรแบ่งครึ่งกีบม้าด้วย และเมื่อพิจารณากีบม้าที่ถูกแบ่งครึ่งนั้น ด้าน medial และ lateral ก็ควรจะสมมาตรกัน (Lateral/Medial balance) ไม่ว่าจะเป็นมวลของกีบม้า ความสูงและมุมของ hoof wall นอกจากนั้น coronet ก็ควรจะเป็นเส้นตรงขนานกับพื้น หากสมดุลย์กีบผิดไป ก็จะส่งผลให้ข้อของม้ารับน้ำหนักไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิดปัญหาข้ออักเสบตามมาได้ รวมถึงส่งผลให้เส้นเอ็นรอบๆ ข้อเกิดการอักเสบตามไปด้วย

มุมมองจากด้านหลัง (Palmar view) เป็นมุมที่เราสามารถเห็นความผิดปกติของ heel ได้ดีที่สุด การประเมินความสูงของ heel bulb นั้นเราสามารถวัดจากพื้นขึ้นไปถึงบริเวณ coronet ของส่วนที่อยู่ palmar ที่สุดของ heel bulb เมื่อเราตรวจพบว่า heel bulb สูงไม่เท่ากัน นั่นก็เป็นสิ่งที่บอกเราได้อย่างชัดเจนว่ากีบม้าข้างนี้มีการลงน้ำหนักที่ไม่เท่ากันระหว่างด้าน Medial และ Lateral หรืออาจเรียกได้ว่ากีบม้านั้นมีปัญหา Latero-medial imbalance ซึ่งเป็นปัญหาที่ทั้งหมอ และช่างเกือกต้องมองให้ออกเพื่อวางแนวทางในการตัดแต่งกีบแก้ไขปัญหา

อีกมุมมองหนึ่งที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดในการตรวจกีบม้าก็คือ Ground surface โดยในมุมนี้หมอจำเป็นจะต้องยกขาม้าเพื่อให้สามารถมองเห็นพื้นกีบม้าได้ ปกติแล้วกีบขาหน้า ความกว้างและยาวจะต้องใกล้เคียงกัน หรือความกว้างอาจจะมากกว่าความยาวได้เล็กน้อย สำหรับขาหลังความยาวจะมากกว่าความกว้างของกีบเล็กน้อย เมื่อลากเส้นแบ่งกีบม้าตรงจุดที่กว้างที่สุดของกีบม้า ระยะจากเส้นแบ่งถึง toe และระยะจากเส้นแบ่งถึง heel ควรจะมีระยะเท่ากัน heel หรือ angle of wall ควรจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับส่วนที่กว้างที่สุดของ frog ซึ่งส่วนที่กว้างที่สุดของ frog นั้นควรจะมีขนาดอย่างน้อยที่สุด 50% หรือถ้าจะให้ดีควรจะมีขนาดเป็น 67% ของความยาวของ frog ปลายของ frog ควรจะชี้ไปที่ toe เมื่อลากเส้นแบ่งครึ่ง frog เส้นนั้นควรจะแบ่งด้าน medial และ lateral ของกีบม้าออกมาสมมาตรกัน พื้นกีบม้าควรจะเว้าเข้าด้านใน ตามแนวของกระดูก P3 และควรจะมีความหนาที่เหมาะสมเพื่อรองรับแรกกระแทกที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นกีบ

นอกจากความสมดุลย์ และมุมของกีบม้าแล้ว ลักษณะภายนอกของกีบม้าก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องฝึกหัดสังเกตุ เช่น ถ้าผนังกีบของม้าที่ปกติแล้วควรจะเรียบเนียนเป็นมันเงางาม กลับเป็นคลื่นขรุขระ แห้ง ไม่ชุ่มชื้น นั่นก็เป็นสิ่งที่บอกว่าไรกีบของม้าตัวนั้นเคยมีการอักเสบจนทำให้ผนังกีบที่สร้างใหม่ไม่แข็งแรง อาจเนื่องมาจากการบาดเจ็บจากการใช้งาน หรือจากปัญหาทางโภชนาการก็ได้

ที่มา: Lameness recognizing and treating the horses’s most common ailment.

Dynamic observation

ในการตรวจกีบม้าขณะเคลื่อนไหว ผมแนะนำให้จูงม้าเคลื่อนไหวในลักษณะตามแผนภาพครับ เพราะการจูงม้าในลักษณะนี้หมอจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวได้ชัดเจนทั้งขาหน้า และขาหลัง เห็นการเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง (Straight line) เห็นการเลี้ยวทั้งสองข้าง (Left & Right Circle) ทั้งในจังหวะที่ม้าก้าวเดิน (Walk) และวิ่งเรียบ (Trot) ซึ่งการจูงม้าเพื่อตรวจในลักษณะนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้นครับ

สิ่งสำคัญในการตรวจกีบม้าขณะเคลื่อนไหวก็คือ การตรวจการวางกีบม้าแต่ละข้าง เมื่อมองจากด้านข้างตามปกติแล้วม้าควรจะวางกีบด้วย heel ก่อน toe เล็กน้อย หรือวางพื้นพร้อมกัน หากพบว่าม้าวางกีบโดยใช้ toe แตะพื้นก่อน heel นั่นก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าน่าเกิดความผิดปกติขึ้นกับโครงสร้างบริเวณ heel จนทำให้ม้าเจ็บและเลี่ยงการลงน้ำหนักตามปกติ เมื่อมองจากด้านหน้าและด้านหลังในขณะที่ม้าเคลื่อนที่ เราจะสามารถมองเห็นได้ว่าม้าวางกีบด้าน medial และ lateral พร้อมกันตามปกติหรือไม่ เพราะหากม้าวางกีบทั้งสองฝั่งลงไม่พร้อมกันก็จะส่งผลให้เกิดปัญหา Sheared heel หรือภาวะที่ส้นกีบบิดเบี้ยวได้ ซึ่งการวางกีบที่ผิดปกติในลักษณะนี้อาจจะมาจากปัญหาโครงสร้างของขาม้าก็ได้ ซึ่งผมจะกล่าวถึงในบทความอื่นๆ ต่อไปครับ

บทความเรื่องเกี่ยวกับกีบม้าพื้นฐานที่ผ่านมา น่าจะทำให้หมอเห็นภาพของการตรวจกีบม้ามากขึ้น ความรูัความเข้าใจพื้นฐานทั้งในเรื่องของโครงสร้างกีบม้า และลักษณะกีบม้าปกติที่ควรจะเป็นนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่หมอจำเป็นจะต้องฝึกฝนสายตาให้ชินกับการดูความผิดปกติต่างๆ ไม่ต่างจากการตรวจสัตว์ประเภทอื่น หรือโครางสร้างอื่นๆ pathology ที่เกิดขึ้นกับกีบม้านั้นมักจะทิ้งร่องรอยให้เราเห็นได้ชัดเจนเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราอ่านมันออกหรือไม่ หวังว่าบทความเรื่องกีบม้าทั้งสองบทความที่ผ่านมาจะเป็นประโยชน์นะครับ

เอกสารอ้างอิง

Gary M.Baxter, Adams & Stashaks’s Lameness in Horses, 2011

Raynor M, The Horse Anatomy Workbook: A Learning Aid for Students Based on Peter Goody’s Classic Work, Horse Anatomy, 2006

Christopher C.Politt, Color Atlas of The Horse’s Foot, Mosby-Wolf, 1995

Christine King, Richard Mansmann. Lameness, Recognizing and treating the horse’s most common ailment, The Lyons Press, 1997

Simon Curtis, The Hoof of the Horse, New Market Farrier Consultancy, 2018

Andrea E.Floyd, Richard A.Mansmann. Equine Podiatry, 2010

Stefan Wehrli, Examination for shoeing, NEAEP Podiatry Proceeding 2018

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์ (Veterinary Practitioner News; VPN) ฉบับที่ 201 เดือนมิถุนายน 2562

Message us