รถยนต์ต้องการน้ำมันฉันใด สิ่งมีชีวิตก็ต้องการอาหารฉันนั้น
รถแต่ละประเภทต้องการน้ำมันที่แตกต่างกันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้โดยไม่สะดุด และทำงานได้เต็มกำลัง หากเราเติมน้ำมันผิดประเภท เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ ยิ่งรู้ช้าว่าเติมน้ำมันผิดประเภท โอกาสที่เครื่องจะพังก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น


สิ่งมีชีวิตก็เช่นกัน สุขภาพจะดีได้เราต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นกินอะไร หากเราให้อาหารผิดประเภทให้สิ่งทีไม่ควรให้ โอกาสที่จะเจ็บป่วยจนถึงแก่ชีวิตในเวลาอันสั้นก็มีมาก หากเราให้อาหารที่มีสารอาหารไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ โอกาสที่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นจะค่อยๆ เสื่อมโทรมลงก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น


ในปัจจุบันม้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของมนุษย์ในทุกด้าน ม้าเลี้ยงจำเป็นต้องกินในสิ่งที่มนุษย์จัดหามาให้ ความรู้ความเข้าใจเรื่องโภชนาการม้าของผู้ที่เกี่ยวข้องจึงส่งผลต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของม้าโดยตรง เพื่อช่วยป้องกันโรคในระบบทางเดินอาหาร สนับสนุนให้ม้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ให้ม้าได้รับสารอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ ป้องกันโรคอ้วน หรือภาวะขาดสารอาหาร


วิวัฒนาการกว่า 50 ล้านปี ส่งผลให้ม้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการกินมากถึง 16-20 ชั่วโมง และเดินทางเกือบ 20 กิโลเมตรต่อวัน อาหารที่ม้าได้รับก็จะเป็นหญ้านานาชนิดที่มีความหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ อาหารหยาบ (Forage) จึงเป็นอาหารหลักของม้า เพราะทางเดินอาหารของม้าถูกวิวัฒนาการมาเพื่อรองรับอาหารแบบนั้น


หากเราเปรียบเทียบกับม้าเลี้ยงในปัจจุบัน ก็จะพบว่าพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของม้าเลี้ยงผิดแปลกไปจากธรรมชาติอยู่มาก เพราะปัจจุบันมนุษย์นิยมเลี้ยงม้าในคอก ส่งผลให้ม้าไม่สามารถเคลื่อนที่ได้มากเพียงพอ และไม่สามารถเล็มกินหญ้าได้ทั้งวันแบบที่มันวิวัฒนาการมา (ถึงแม้ว่าเราจะเลี้ยงม้าในแปลงปล่อย ขนาดของแปลงปล่อยก็ยังเล็กเมื่อเทียบกับระยะทางที่ม้าเดินทางได้ต่อวันในธรรมชาติอยู่ดี)


ในปัจจุบันม้าส่วนใหญ่มักถูกใช้ไปเพื่อกิจกรรมสันทนาการหรือการกีฬาเป็นหลัก ต่างจากช่วงศตวรรษที่ 19 ที่คนส่วนใหญ่มักนำม้ามาใช้งานทางด้านการเกษตร การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ม้าจำเป็นจะต้องใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่องานที่มนุษย์ต้องการ อาหารหยาบที่เคยให้พลังงานกับม้าได้อย่างเพียงพอกับการใช้ชีวิตของม้าจึงไม่พอเพียงอีกต่อไป ธัญพืช ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์ และข้าวโพด จึงเข้ามามีบทบาทเพื่อเสริมพลังงานให้กับม้าที่ต้องทำงานหนักขึ้น


นอกจากชนิดอาหารที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การจัดการการให้อาหารม้าก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพื่อให้เข้ากับนาฬิกาชีวิตของมนุษย์ จากม้าที่เป็นสัตว์ที่กินตลอดเวลาก็ถูกเปลี่ยนให้กินเป็นมื้อแทน ซึ่งการให้อาหารม้าเป็นมื้อนี้กลับไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่อาหารข้นเท่านั้น มนุษย์กลับนำไปปรับใช้กับการให้อาหารหยาบด้วย จึงทำให้ม้าไม่ได้รับอาหารหยาบตลอดเวลาเหมือนที่วิวัฒนาการมา หลายครั้งก็พบว่ามีการให้อาหารข้นในปริมาณที่มากกว่าอาหารหยาบเนื่องมาจากความเข้าใจผิดของเจ้าของม้า


National Research Council; NRC ระบุว่าปริมาณอาหารหยาบที่น้อยที่สุดที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของม้าทำงานได้ตามปกตินั้นคิดเป็นน้ำหนักแห้ง 1% ของน้ำหนักตัวม้า หากม้ากินหญ้าแห้งที่มีความชื้น 14% ม้าจะต้องได้รับหญ้าแห้ง 1.2 กิโลกรัมต่อน้ำหนักตัวม้า 100 กิโลกรัมต่อวัน หากม้ากินหญ้าสดที่มีความชื้น 50% ม้าจะต้องได้รับหญ้าสด 2 กิโลกรัมต่อน้ำหนักตัวม้า 100 กิโลกรัม


อย่างไรก็ตาม นักโภชนาการม้าส่วนใหญ่จะแนะนำว่าปริมาณอาหารหยาบที่ม้าควรได้รับนั้นควรคิดเป็นน้ำหนักแห้ง 2-3% จึงจะเหมาะสมมากกว่า เพราะปริมาณอาหารหรือสารอาหารส่วนใหญ่ที่ NRC แนะนำนั้นเป็น Minimum Requirements หากผิดไปจากที่ NRC แนะนำเพียงเล็กน้อยก็จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้


การให้อาหารหยาบในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่วมกับการให้อาหารธัญพืชปริมาณมากเป็นมื้อๆ แค่สองอย่างนี้ก็ส่งผลให้ม้ามีปัญหาสุขภาพได้แล้ว ปัญหาสุขภาพที่พบเจอได้บ่อยๆ จากการจัดการการให้อาหารที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ Gastric Ulceration, Hind-gut acidosis, Laminitis และ Colic เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงาน (Performance) ของม้าลดลง ม้าไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรืออาจส่งผลให้เกิดความเสียหายรุนแรงกับอวัยวะบางส่วนของร่างกายม้าจนไม่อาจซ่อมแซมได้ เช่นในกรณี Colitis และ Laminitis หรือบางโรคอาจรุนแรงถึงชีวิตอย่างในกรณี Colic
สัตวแพทย์ที่รักษาม้า (Equine Practitioners) จึงควรมีบทบาทในมุมของนักโภชนาการอยู่ด้วยเสมอ เพื่อช่วยให้ม้าได้รับอาหารที่เหมาะสมทั้งในแง่ของสารอาหารและการจัดการการให้อาหาร เพราะสุขภาพของม้าจะดีได้ สุขภาพของทางเดินอาหารม้าต้องดีก่อน


หากพิจารณาโครงสร้างระบบทางเดินอาหารของม้า ก็จะพบว่าม้าถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Non-Ruminant Herbivore ม้ามีการย่อยและดูดซึมอาหารด้วยการใช้เอ็นไซม์ที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เช่นเดียวกับสัตว์ในกลุ่ม Non-ruminant แต่ในขณะเดียวกันม้าก็มีการหมักอาหารจำพวกไฟเบอร์แบบเดียวกับสัตว์ในกลุ่ม Ruminant แต่ต่างกันที่การหมักไฟเบอร์ในม้านั้นเกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่แทนที่จะเป็น Rumen ม้าจึงเป็นสัตว์ที่มีโครงสร้างและการทำงานของทางเดินอาหารแบบผสมระหว่างสัตว์ในกลุ่ม Ruminant และ Non-Ruminant นอกจากนี้ด้วยลักษณะทางภายวิภาคของกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารของม้าที่มีความจำเพาะ ม้าจึงเป็นสัตว์ที่ไม่สามารถอาเจียน หรือขย้อนอาหารออกจากกระเพาะอาหารได้

ที่มา: Equine Applied and Clinical Nutrition: Health, Welfare and Performance

การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของม้า โดยม้าจะใช้ริมฝีปากในการจับอาหารเข้าปาก ตัดอาหารด้วยฟันตัด (Incisor) และบดเคี้ยวด้วยฟันกราม (Pre-molars และ Molars) เพื่อลดขนาดของอาหารให้ง่ายต่อการย่อย ทั้งการย่อยด้วย Enzymatic digestion ที่ระบบทางเดินอาหารส่วนหน้า และการย่อยด้วย Microbial fermentation ที่ระบบทางเดินอาหารส่วนท้าย จำนวนครั้งในการเคี้ยวของม้ามีผลโดยตรงต่อการหลั่งน้ำลาย เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำลายที่ม้าหลั่งออกมาระหว่างการกินอาหารข้นและอาหารหยาบ จะพบว่าเมื่อกินอาหารหยาบม้าจะมีการเคี้ยวมากกว่าการกินอาหารข้น 3-4 เท่า ม้าจะต้องเคี้ยวมากถึง 3,500 ครั้งต่ออาหารหยาบ 1 กิโลกรัม ในขณะที่ม้าจะมีการบดเคี้ยวเพียงแค่ 800-1,200 ครั้งเท่านั้นหากกินอาหารข้นในปริมาณที่เท่ากัน


จากจำนวนครั้งในการเคี้ยวของม้าเราจะเห็นได้ว่าม้ามีการใช้ฟันเกือบตลอดเวลา สุขภาพฟันม้าจึงเป็นประเด็นสำคัญในการดูแลสุขภาพพื้นฐาน เพราะหากกระบวนการย่อยกระบวนการแรกทำได้ไม่ดีแล้ว การย่อยในลำดับถัดไปก็จะมีประสิทธิภาพลดลงด้วย

กระเพาะอาหาร (Stomach) ของม้ามีขนาดเล็กเพียง 8-9% ของระบบทางเดินอาหารทั้งหมด นั่นหมายความว่าม้าขนาด 400 กิโลกรัม กระเพาะอาหารจะมีความจุเพียง 8-12 ลิตรเท่านั้น เราจึงควรจำกัดปริมาณของอาหารข้นที่ให้กับม้าในแต่ละมื้อโดยไม่ควรให้เกิน 1.5-2 กิโลกรัมต่อมื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา Gastric impaction ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

กระเพาะอาหารม้า ที่มา: Clinical anatomy of the Horse

กระเพาะอาหารของม้าถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันได้แก่ Glandular และ Non-glandular อาหารที่ม้ากินเข้าไปจะผ่านเข้ากระเพาะอาหารในส่วน Non-glandular ที่มี pH ค่อนข้างสูง เป็นบริเวณที่ไม่มีต่อมผลิตน้ำย่อย ไม่มี mucus layer ที่ช่วยปกป้องผนังกระเพาะอาหารจากน้ำย่อย กระเพาะอาหารในส่วนนี้จะได้รับอิทธิพลโดยตรงจากน้ำลายที่ม้าผลิตออกมาช่วยเป็นบัฟเฟอร์รักษาความเป็นกรดด่าง หากม้าได้รับอาหารข้นในปริมาณมาก ได้รับอาหารหยาบในปริมาณน้อย ก็จะทำให้ม้าผลิตน้ำลายลดลง pH ของกระเพาะอาหารส่วน Non-Glandular ต่ำลง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นแผลในกระเพาะอาหารมากขึ้น (Equine Gastric Ulceration Syndrome; EGUS)


โดยเฉลี่ยอาหารจะใช้เวลาเดินทางผ่านกระเพาะอาหารเพียงแค่ 20-30 นาทีเท่านั้น (จากงานวิจัยพบว่าอาจจะอยู่ได้ตั้ง 15 นาที – 12 ชั่วโมง) แล้วอาหารก็จะผ่านเข้าสู่ลำไส้เล็กต่อไป

ที่มา: http://davidmarlin.co.uk

ลำไส้เล็ก (Small Intestine) มีความยาว 20-25 เมตร คิดเป็น 75% ของความยาวของทางเดินอาหารทั้งหมด แต่ลำไส้เล็กลับมีความจุเพียงแค่ 30% ของทางเดินอาหารทั้งหมดเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำไส้เล็กในม้านั้นมีขนาดเล็กนั่นเอง ในลำไส้เล็กนี้อาหารจะถูกย่อยและดูดซึมแบบ Enzymatic digestion โดยอาหารที่ผ่านเข้าลำไส้เล็กนั้นจะมี pH อยู่ที่ 2.5-3.5 เท่านั้น พฤติกรรมการกินของม้าที่กินอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้กินเป็นมื้อ ส่งผลให้ม้าวิวัฒนาการมาโดยที่ไม่มี Gall bladder ลำไส้เล็กส่วน Duodenum ของม้าจึงมีการหลั่งน้ำดี (Bile) อยู่ตลอดเวลา โดยน้ำดีจะช่วยให้อาหารที่ผ่านเข้าลำไส้เล็กนั้นมี pH อยู่ที่ 7-7.5 และลำไส้เล็กยังมีการหลั่ง Bicarbonate เพื่อช่วยปรับ pH ของอาหารก่อนที่อาหารจะผ่านเข้าไปสู่ลำไส้ใหญ่


pH ในลำไส้เล็กของม้านั้นมีความสำคัญมาก เพราะหาก pH ของลำไส้เล็กไม่เป็นกลาง (pH 7-7.5) เอนไซม์ต่างๆ ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนก็จะไม่สามารถทำงานได้ การขนส่งสารอาหารผ่านผนังลำไส้ก็จะทำได้ลดลง ส่งผลให้ม้าไม่สามารถนำสารอาหารที่กินไปไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


อาหารจะใช้เวลาเดินทางผ่านลำไส้เล็ก 45 นาที – 2 ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร ปริมาณอาหารข้น และปริมาณอาหารหยาบในแต่ละมื้อ

เมื่ออาหารเดินทางผ่านจากลำไส้เล็กไปแล้วก็จะสิ้นสุดส่วนของ Foregut และเข้าสู่ส่วนของ Hindgut ที่มีการย่อยด้วย Microbial Fermentation

สามารถติดตามอ่านได้ในตอนต่อไปครับ


เอกสารอ้างอิง:

RAYMOND J. GEOR, Equine Applied and Clinical Nutrition, Health, Welfare and Performance, 2013 Elsevier Ltd.
Online Equine Digestion and Nutrition Course, University of Edinburgh.
Hampson BA, de Laat MA, Mills PC, Pollitt CC. Distances travelled by feral horses in ‘outback’ Australia. Equine Vet J Suppl, 2010 Nov;(38):582-6.

Message us